เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2566 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นองค์ประธานการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิรางวัลสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อพิจารณาตัดสินผู้ได้รับพระราชทานรางวัลประจำปี 2566
ผลการตัดสินผู้ได้รับเลือกเป็นผู้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ประจำปี พ.ศ. 2566 ได้แก่ ดร. ดิลีป คูมาร์ ทิมมาปปา (Dr. Dileep Kumar THIMMAPPA) จากสาธารณรัฐอินเดีย โดยพิจารณาจากผลงานที่มีความโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ในด้านการพยาบาลและการผดุงครรภ์ จนเป็นที่ยอมรับทั้งในระดับชาติและนานาชาติ ดร. ทิมมาปปา เป็นผู้นำพยาบาลที่โดดเด่นด้วยวิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่น และความทุ่มเทในการพัฒนาวิชาชีพและภารกิจของสภาการพยาบาลอินเดียอย่างเข้มแข็งต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 49 ปี ส่งผลให้การศึกษาและการบริการการพยาบาลและการผดุงครรภ์ในอินเดียมีความก้าวหน้าเป็นลำดับ ส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชนในวงกว้าง
มูลนิธิรางวัลสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดตั้งขึ้นในวโรกาส 100 ปี แห่งการเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี วันที่ 21 ตุลาคม 2543 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาให้รางวัลแก่ผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาล และ/หรือการผดุงครรภ์วิชาชีพจากทุกประเทศทั่วโลก ที่มีผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ทั้งในระดับชาติ และระดับนานาชาติ ทั้งนี้ พิธีพระราชทานรางวัลฯ ประจำปี 2566 จะจัดขึ้นในวันที่ 16 ตุลาคม 2566 ณ พระบรมมหาราชวัง
ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิไทยได้ประชาสัมพันธ์เพื่อเปิดรับการเสนอชื่อเพื่อการรับรางวัลการทูตสาธารณะประจำปี ๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๖ โดยรางวัลดังกล่าวจะมอบให้แก่บุคคล กลุ่มบุคคลหรือองค์กรที่ดำเนินงานด้านการทูตสาธารณะและสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทย ประชาชนชาวไทยและ ความเป็นไทย ในหมู่ชาวต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ จำนวน ๑ – ๓ รางวัล โดยได้เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๖ – ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖ เป็นเวลาทั้งสิ้น ๓ เดือน นั้น
เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๖ คณะกรรมการมูลนิธิไทยได้ตัดสินให้โมรียาและเอรียา จุฑานุกาล เป็นผู้ได้รับรางวัลการทูตสาธารณะ ประจำปี ๒๕๖๖ เนื่องจากโมรียาและเอรียา จุฑานุกาล คู่พี่น้องนักกอล์ฟหญิงมืออาชีพชาวไทย ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในวงการกีฬากอล์ฟสตรีระดับโลก ได้ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยอย่างแพร่หลายและต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ความสำเร็จดังกล่าวยังได้สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยหันมาสนใจกีฬากอล์ฟอย่างจริงจังเป็นจำนวนมากจนหลายคนประสบความสำเร็จในระดับโลกและสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยตามมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น คู่พี่น้องนักกอล์ฟหญิงไทยยังช่วยเผยแพร่ อัตลักษณ์ความเป็นไทยในสายตาผู้ที่ติดตามทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นต้นแบบด้านการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและ การสร้างสังคมที่ดีควบคู่ไปด้วย
พี่น้องจุฑานุกาลเข้าสู่ LPGA Tour ซึ่งเป็นรายการกอล์ฟหญิงอันดับ ๑ ของโลก โดยโปรโมเข้าสู่ LPGA Tour ในปี ๒๐๑๓ ขณะที่ต่อมาในปี ๒๐๑๕ โปรเมได้ตามเข้าสู่รายการดังกล่าว ในเวลาอันรวดเร็ว โปรเม-เอรียาสามารถพุ่งสูงสุดสู่ความเป็นนักกอล์ฟหญิงไทยคนแรกที่คว้าอันดับ ๑ ของโลก ในปี ๒๐๑๗ ภายหลังจากได้สิทธิ์แข่ง LPGA เพียง ๒ ปี ทั้งยังสร้างประวัติศาสตร์ครั้งใหญ่ให้กับประเทศไทย และวงการกอล์ฟโลกจากการคว้าแชมป์ LPGA Tour ได้ ๕ รายการ ตลอดจนได้รับรางวัลนักกอล์ฟแห่งปีภายในปีเดียวกัน และเป็นนักกอล์ฟหญิงคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์ ๓ รายการติดต่อกันภายใน ๑ ปี ขณะที่โปรโม-โมรียา ก็มีผลงานที่น่าประทับใจ โดยในปี ๒๐๑๓ ซึ่งเป็นปีแรกที่เริ่มเล่นใน LPGA Tour ก็ได้รับรางวัล LPGA Rookie of the Year นอกจากนี้ ยังสามารถคว้าแชมป์ LPGA รายการ Hugel JTBC LA Open ได้ ในปี ๒๐๑๘ รายการ DOW Great Lake Bay Invitational ปี ๒๐๒๑ และล่าสุดในปี ๒๐๒๓ พี่น้องจุฑานุกาลอยู่ในทีมไทยร่วมกันคว้าแชมป์ Hanwha Lifeplus International Crown
ปัจจุบันมีโปรกอล์ฟไทยที่ประสบความสำเร็จตามรอยของโปรโมและโปรเม จนสามารถคว้าแชมป์ LPGA และได้ช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอย่างต่อเนื่องจำนวน 7 คน (รวมโปรโมและโปรเม) ได้แก่ ปาจรีย์ อนันต์นฤการ (โปรเมียว) อาฒยา ฐิติกุล (โปรจีน) ปภังกร ธวัชธนกิจ (โปรเหมียว) ธิฎาภา สุวัณณะปุระ (โปรจัสมิน) และชเนตตี วรรณแสน (โปรพราว)
เรื่องราวชีวิตของพี่น้องจุฑานุกาลได้รับความสนใจถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ “โปรเม อัจฉริยะต้องสร้าง”ออกฉายในหลายประเทศ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนเชื่อมั่น มุ่งมั่น ตั้งใจในสิ่งที่รัก และพยายามสู่ความสําเร็จ ซึ่งเครือข่ายบันเทิงยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix ก็ได้บรรจุภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ชมจากทั่วโลกด้วย
สำหรับรางวัลที่จะมอบให้แก่ โมรียา และเอรียา จุฑานุกาล นั้น จะประกอบด้วย การสลักชื่อลงบนถ้วยรางวัล (Trophy) ซี่งจะมีชื่อผู้ได้รับรางวัลที่ผ่านมาและในอนาคตและตั้งแสดงไว้ที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยจะมอบถ้วยรางวัล (Trophy) จำลองให้แก่ผู้ได้รับรางวัล พร้อมทั้งจะสลักชื่อผู้ได้รับรางวัลบนผนังเกียรติยศที่กระทรวงการต่างประเทศด้วย นอกจากนั้น ผู้ได้รับรางวัลจะได้เงินจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท และโล่ประกาศ เกียรติคุณด้วย
อนึ่ง ในปี ๒๕๖๕ นายแพทย์ สุนทร อันตรเสน เป็นผู้ได้รับรางวัลการทูตสาธารณะเป็นคนแรก
ทั้งนี้ มูลนิธิไทยจะประกาศเวลาและรายละเอียดของพิธีมอบรางวัลการทูตสาธารณะต่อไป